คำว่า “กาแฟ” มีปรากฏในหนังสืออักขราภิธานศรับท์ของหมอบรัดเลย์
ตีพิมพ์เมื่อปี พ.ศ. 2
416 ว่า “กาแฟ ต้นไม้อย่างหนึ่ง มาแต่เมืองนอก เม็ดมันต้มน้ำร้อนกินคล้ายใบชา”
มีบันทึกไว้ว่าเมืองไทยปลูกกาแฟมาตั้งแต่สมัยอยุธยา แต่ทว่าได้รับความนิยมในการดื่มในช่วงสมัย รัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
โดยการนำเข้ามาของชาวต่างชาติ เช่น อังกฤษ ชาวดัตช์ ต่อมาในรัชกาลที่ 9 ช่วงปี 2515 – 2522 ได้มีโครงการในพระราชดำริให้ปลูกพืชทดแทนฝิ่นในเขตภาคเหนือ โดยใช้กาแฟสายพันธุ์อราบิก้า
และได้เริ่มในปี 2523 จนกระทั่งถึงปัจจุบัน
ปัจจุบันกาแฟถือเป็นพืชเศรษฐกิจของโลก มีประเทศบาลซิล เป็นผู้ผลิตกาแฟได้มากที่สุด ( 17,000,000 ตัน ค.ศ. 2008) และมีเวียดนามเป็นผู้ผลิตเมล็ดโรบัสต้ารายใหญ่ของโลก
กาแฟถูกจัดอยู่ในจำพวกพืชเศรษฐกิจที่เป็นโภคภัณฑ์ทางการเกษตร เช่น ข้าว ข้าวสาลี ข้าวโพด น้ำนม เนื้อสัตว์ เมล็ดกาแฟ เมล็ดฝ้าย น้ำตาล
สารบัญ กาแฟไทย
- ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
- สายพันธุ์กาแฟ
- การเลือกสถานเพาะปลูก
- การเตรียมพื้นที่ปลูก
- การเตรียมหลุม วิธีการปลูก
- การเพาะต้นกล้า
- การย้ายต้นกล้า
- การใส่ปุ๋ย
สนใจเลือกซื้อกาแฟคุณภาพของเรา
1. ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของกาแฟ
กาแฟมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า coffee มีลักษณะเป็นไม้ทรงพุ่มขนาดประมาณ 3 ถึง 5 เมตร
ลำต้นโดยธรรมชาติแล้ว กาแฟมีลักษณะลำต้นตั้งตรง
ในระยะแรกของการเจริญเติบโตจะไม่แตกกิ่ง แต่มีใบแตกออกตรงข้ออยู่ตรงข้ามกันเป็นคู่ๆ
ต่อมาเมื่อมีการเจริญเติบโตขึ้น ก็มีการแตกกิ่งออกจากลำต้นในลักษณะที่แยกออกมาอยู่ตรงข้ามกัน
ถ้าหากต้นกาแฟไม่มีการตัดแต่งกิ่ง จะทำให้กาแฟเป็นทรงพุ่มทึบ เป็นที่สะสมของโลกแมลง และมีผลผลิตต่ำ
- ดอก ดอกกาแฟมีสีขาวบริสุทธิ์กลิ่นคล้ายมะลิป่า ส่วนใหญ่ดอกกาแฟจะออกตามข้อของกินกาแฟ ยิ่งข้อสั้นจะสามารถเกิดดอกและติดผลได้มาก
ดอกกาแฟเป็นดอกสมบูรณ์มีทั้งเพศผู้และเพศเมียในดอกเดียวกัน การออกดอกของกาแฟจะขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำ ถ้าในท้องถิ่นมีฝนตกเป็นฤดู ดอกจะออกหลังจากฝนตกประมาณ 1 เดือน
ถ้าหากอากาศชุ่มชื้นตลอดทั้งปีหรือมีน้ำเพียงพอ กาแฟจะออกตลอดทั้งปี
- ผล การติดผลของกาแฟจะติดอยู่ที่ประมาณ 15 ถึง 25 เปอร์เซ็นต์ จากดอกที่ออกมาทั้งหมด โดยภายในกาแฟจะแบ่งเป็น 2 ส่วน
ในหนึ่งส่วนจะมีเมล็ดกาแฟอยู่ 1 เมล็ด ซึ่งลักษณะแบนยาวไปตามรูปของเปลือกหุ้ม ถ้าหากมีเมล็ดใดที่ได้รับการผสมพันธุ์ไม่ดี เมล็ดที่เหลือจะมีลักษณะรูปร่างกลม
เรียกว่า พีเบอรี่ โดยมีโอกาสเกิดขึ้นประมาณ 5-10% เมล็ดที่สุกจะมีสีน้ำตาลปนแดง
- เมล็ดกาแฟ เป็นส่วนที่อยู่ในกะลา ซึ่งห่อหุ้มด้วยเยื่อบางๆอีกชั้นหนึ่ง ส่วนเนื้อกาแฟที่ห่อหุ้มกะลา เมื่อสุกเต็มที่มีรสหวานเล็กน้อยและจะมีเมือกยางเหนียวๆ
ผลกาแฟเมื่อสุกเต็มที่ จะทกการปลอกเอาเปลือกและเนื้อทิ้ง เอาเมล็ดกาแฟทั้งกะลาไปตากแห้ง โดยจะสูญเสียน้ำหนักประมาณ 70% จากผลสด
และเมื่อกระเทาะเอาเปลือกและเนื้อทิ้ง นำกะลาไปตากแห้งจะเสียน้ำหนักไปอีกประมาณ 14-15 %
โดยเฉลี่ยการนำผลสดมาแปรรูปเป็นสารกาแฟจะสูญเสียน้ำหนักไปประมาณ 80% และหากนำกาแฟไปคั่ว จะเหลือน้ำหนักเพียง 13% ของจากเมล็ดกาแฟสดเท่านั้น
2. สายพันธุ์กาแฟ
ทั่วโลกมีกาแฟอยู่ประมาณ 50 สายพันธุ์ แต่สายพันธุ์ที่นิยมคือ อราบิก้ ากับ โรบัสต้า ซึ่งเป็นพันธุ์ที่นิยมปลูกในประเทศไทย
โดยอราบิก้าปลูกทางภาคเหนือ และ โรบัสต้าปลูกทางภาคใต้
- พันธุ์อาราบิก้ามีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Coffee arabica มีชื่ออื่นๆ เช่น กาแฟบราซิลเลี่ยน อารบิกัน เป็นกาแฟพันธุ์ที่นิยมปลูกกันมากที่สุดในโลก มีผลผลิตสูงถึง 90 เปอร์เซ็นต์ของกาแฟทั้งหมดในโลก
มีถิ่นกำเนิดที่เอธิโอเปีย โตได้ดีในอากาศค่อนข้างหนาวเย็น มีคุณภาพสูงทั้งกลิ่นและรสชาติ
- กาแฟโรบัสต้ามีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Coffee โรบัสต้า เป็นกาแฟที่สามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ดีมาก มีความทนทานต่อโรคและแมลงสูง
ปลูกได้ตั้งแต่ระดับน้ำทะเลจนถึงความสูง 5300 ฟุต เป็นพันที่ต้องการความชุ่มชื้นและฝนตกสม่ำเสมอ เติบโตได้ดีทั้งในที่ร่มและกลางแจ้ง
มีผลผลิต มากกว่ากาแฟอาราบิก้า เล็กน้อย มีปริมาณการผลิต 1 ใน 4 ทั่วโลก
3. การเลือกสถานเพาะปลูกกาแฟ
กาแฟเป็นพืชในป่าชอบสภาวะแวดล้อมชุ่มชื้นและมีร่มเงา การนำกาแฟมาปลูกนั้น ควรปลูก ต้นไม้บังร่มเงาให้กาแฟด้วย
- ดิน กาแฟสามารถเจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนหรือดินร่วนปนทราย ชอบดินที่มีการถ่ายเทอากาศและระบายน้ำได้ดี
ถ้าปลูกในที่น้ำขัง จะพบโรคใบเหลือง และรากเน่า และตายในที่สุด ดินที่กาแฟชอบที่สุดคือดินร่วน สีแดง เนื่องจากมีธาตุโปแตสเซียมสูง
เพราะกาแฟในช่วงติดผลจะต้องการแร่ธาตุนี้มาก สภาพดินมีความเป็นกลางหรือกรดเล็กน้อย pH อยู่ประมาณ 5.5 ถึง 6.5
- อุณหภูมิ คือปัจจัยสำคัญตัวนึงในการทำกาแฟ เพราะกาแฟเป็นพืชที่ไม่ทนต่อสภาพอากาศที่ร้อนจัดหรือหนาวจัด
ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิจากร้อนไปหนาวหรือหนาวหนาวไปร้อนอย่างเฉียบพลัน จะเป็นอันตรายอย่างมากถ้าต้นกาแฟ
ซึ่งสามารถป้องกันได้โดยปลูกใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ โดยอาราบิก้า เติบโตได้ดีในอุณหภูมิ 15-20 องศา
ส่วนโรบัสต้าเจริญเติบโตได้ดีในอุณหภูมิ 25 ถึง 32 องศา
- ความชื้น กาแฟทุกชนิดมีความต้องการความชื้นจากอากาศสูงเกือบตลอดปี เว้นแต่ในฤดูที่จะออกดอกออกผลช่วงนี้กาแฟจะมีความต้องการความชื้นลดลง
เพื่อกระตุ้นการออกดอกและการสุกของผล โดยพันธุ์อาราบิก้าต้องการความชื้นในอากาศ ไม่เกิน 80% และโรบัสต้าต้องการความชื้นในอากาศ 90 เปอร์เซ็นต์หรือมากกว่า
- ปริมาณน้ำฝน ในพื้นที่ปลูกกาแฟต้องการฝนตกเฉลี่ยประมาณ 1, 500 ถึง 2300 ml ช่วงเวลาที่ฝนตกควรติดต่อกันประมาณ 8-9 เดือน
สำหรับในสภาวะท้องที่ที่มีอากาศค่อนข้างหนาว และท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยเมฆตลอดเวลา
- แสงแดด กาแฟแต่ละชนิด มีความทนทานต่อความแรงของแสงแดดต่างกัน ในสายพันธุ์โรบัสต้า สามารถทนแสงแดดและความแห้งแล้งได้มากกว่าพันธุ์อาราบิก้า
4. การเตรียมพื้นที่ปลูกกาแฟ
· โดยการถางป่าและมีต้นไม้ใหญ่ไว้บังแดด
โดยการถางป่าให้มีต้นไม้ใหญ่เหลือไว้เป็นที่บังแดด การเตรียมพื้นที่แบบนี้ให้ดูระยะของต้นไม้ว่าต้นไม้ใดพอจะเก็บไว้เป็นที่บังแดดได้ก็ไม่ต้องโค่นทิ้ง
ส่วนต้นอื่นๆให้คนทิ้งไป สำหรับการเตรียมพื้นที่ด้วยวิธีนี้ไม่ค่อยนิยม เพราะไม่มีความเป็นระเบียบ และยากในการดูแลรักษา
· โดยการถางป่าให้โล่งเตียนทั้งหมดทั้งแปลง
เป็นวิธีที่นิยมเพราะสามารถจัดระเบียบได้ง่ายและใช้เครื่องจักรเข้าไปช่วยทำงานได้โดยพื้นที่ที่มีความลาดเอียงเกิน 10% ควรจะทำเป็นขั้นบันไดก่อนปู
โดยมีความกว้างของขั้นบันไดประมาณ 1 เมตรห่างกันขั้นละ 2-3 เมตร และปลูกไม้บังแดดชั่วคราวหรือปลูกไปพร้อมกับกาแฟเลยก็ได้ ระยะการปลูก
สายพันธุ์อาราบิก้า ควรใช้ระยะ 2 คูณ 2 เมตร ส่วนสายพันธุ์โรบัสต้า ใช้ระยะ 3 x 3 เมตร เมื่อกาแฟมีอายุ 6-7 ปี หลังจากการปลูก ให้ตัดต้นนึงทิ้งไว้ต้นนึง
ระยะการปลูกก็จะกลายเป็น 6 * 6 เมตร จะทำให้กาแฟมีพุ่มใหญ่แต่ไม่สูงและสะดวกต่อการเก็บเกี่ยว
5. การเตรียมหลุม วิธีการปลูกกาแฟ
- การเตรียมหลุม ใช้หลุมขนาดความลึก 50 x 50 x 50 cm โดยขุดหลุมทิ้งไว้ก่อน 2 เดือน รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอก ประมาณ 2 ปี๊บ และใช้ปุ๋ยฟอสเฟตประมาณ 200 กรัม
- วิธีการปลูก นำต้นกล้าที่อยู่ในถุงพลาสติก ลงหลุมอย่างระมัดระวังอย่าให้รากแก้วคดงอ แล้วเอาดินใส่หลุมให้เต็มกดดินให้แน่น คลุมดินด้วยวัสดุป้องกันความชื้นสูญเสีย
จะใช้ใบไม้หรือทางมะพร้าวมาวางไว้ก่อนก็ได้ เพื่อให้ต้นกล้า ตั้งตัวได้ ถ้าพบว่ามีต้นกล้าตายก็ให้ปลูกซ่อมใหม่ ฤดูกาลปลูกที่เหมาะสม
ควรปลูกเมื่อย่างเข้าฤดูฝน เดือนพฤษภาคมเพราะจะทำให้ต้นกล้าที่ปลูกไปแล้ว มีโอกาสตายน้อยและตั้งตัวได้ดีก่อนจะถึงฤดูแล้งในปีถัดไป
6. การเพาะต้นกล้ากาแฟ
การเพาะเมล็ดกาแฟ ก่อนที่จะได้ต้นกล้ากาแฟไปปลูกนั้น ต้องมีการเตรียมเพาะเมล็ดไว้ก่อน ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก
เพราะต้นกล้าที่สมบูรณ์และแข็งแรงเมื่อนำไปปลูกจะมีโอกาสตายน้อย โดยมีการเตรียมการดังนี้
การเลือกสถานที่ตั้งเรือนเพาะชำเมื่อเลือกสถานที่ได้เหมาะสมแล้ว
จะช่วยให้การดำเนินการได้สะดวกรวดเร็ว ประหยัดเวลาและแรงงานและต้นทุน โดยคำนึงถึงสิ่งต่างๆดังนี้
- อยู่ใกล้แหล่งน้ำสะอาดและสามารถนำน้ำนั้นมาใช้ได้ในทันทีเพราะต้นกล้ากาแฟต้องการน้ำเป็นอย่างมาก
- พื้นที่ควรจะราบเรียบสม่ำเสมอไม่ลาดเอียงเพื่อป้องกันน้ำท่วมขังในเวลาที่ฝนตก
- ควรอยู่ในแหล่งที่สามารถจัดเตรียมหาวัสดุจำเป็นได้ง่ายและราคาถูก
- สร้างร่มเงาหลังคาให้ต้นกล้าถ้าไม่สามารถทำได้ให้ใช้ร่มเงาของต้นไม้หรือในพื้นที่ร่มรำไร
การเตรียมเมล็ดพันธุ์ เมล็ดกาแฟที่จะนำไปเพราะนั้นต้องมีการคัดเลือกพันธุ์โดยเลือกจากต้นที่มีอายุ 8-10 ปีที่
มีความเจริญเติบโตและแข็งแรงดีมีความทนทานต่อโรคและแมลงดี ให้ผลผลิตสม่ำเสมอและเมล็ดที่นำไปต้องสุกเต็มที่
การเตรียมเมล็ดไปเพาะนั้น ให้เอาเปลือกและเนื้อออกให้หมด แล้วนำแต่เมล็ดไปแช่น้ำ 24 ชั่วโมง
เมื่อครบกำหนดให้ล้างเม็ดให้สะอาดแล้วนำไปผึ่งแดด 5-7 วัน แล้วจึงนำไปเพาะในแปลงเพาะชำต้นกล้าต่อไป
ถ้าเมล็ดที่เตรียมไว้สามารถไปปลูกได้ภายใน 7 วัน จะมีเปอร์เซ็นต์การงอกสูงถึงสูงถึง 95 เปอร์เซ็นต์
ในกรณีที่ไม่สามารถเพราะได้ในทันทีเมล็ดจะไม่ควรเก็บนานไม่เกิน 2 เดือน เพราะเปอร์เซ็นต์การงอกจะลดลง
7. การเตรียมแปลงเพาะกาแฟ
การเตรียมแปลงเพาะ ในการเตรียมแปลงเพาะชำกล้ากาแฟ แปลงเพาะควรจะกว้างประมาณ 1 เมตรส่วนความยาวแล้วแต่สะดวก
ในการขุดดินให้ขุดลึกประมาณ 40 ถึง 50 1 เซนติเมตร ถ้าดินไม่สมบูรณ์ก็นำปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักไปผสม ยกลองให้สูงจากพื้นดิน 15 เซนติเมตร
ใส่ปุ๋ยฟอสเฟตในอัตรา 150 กรัมต่อ 1 ตารางเมตร ถ้าอยู่ในที่แจ้งควรทำร่มเงาให้แปลงเพาะ เพื่อที่จะลดความแรงของแสง
- วิธีเพาะ หลังจากที่เตรียมแปลงเพาะชำกล้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้ทำร่องสำหรับ หยอดเมล็ดกาแฟโดยห่างกันล่องละ 15 1 เซนติเมตร ลึกประมาณ 1 เซนติเมตร
กลบดินหนาประมาณ 1-2 เซนติเมตร คลุมแปลงด้วยฟางข้าวหรือยังแห้ง รดน้ำให้ชุ่ม แล้วรดน้ำต่อไปทุกๆวัน โดนมาแล้วจะเริ่มงอก ประมาณ 1-2 เดือน เมื่อเมล็ดงอกให้เอาวัสดุคลุมแปลงออก
8. การย้ายต้นกล้ากาแฟ
ก่อนที่จะย้ายต้นกล้าเพื่อนำไปชำระ ต้องรดน้ำให้ดินเปียกชุ่ม แล้วถอนต้นกล้าอย่างระมัดระวังอย่าให้รากแก้วคดงอหรือขาด
เพราะจะทำให้ระบบรากไม่ดีกาแฟจะแคระแกรน สำหรับกล้ากาแฟที่จะย้ายชามแบ่งได้ 3 ระยะคือ
- ระยะหัวไม้ขีด ระยะที่ต้นกล้ากาแฟเริ่มงอกแล้วแต่ยังไม่แตกใบมีลักษณะเป็นหัวไม้ขีดสูงไม่เกิน 2 นิ้ว
- ระยะผีเสื้อ ระยะที่กล้ากาแฟเริ่มแตกใบและมียอดเล็กๆแต่ยังไม่มีใบจริง
- ระยะใบจริง ระยะที่กล้ากาแฟมีใบจริงตั้งแต่ 1 ถึง 2 คู่
โดยระยะการย้ายชำต้นกล้าที่เหมาะสมที่สุดคือระยะหัวไม้ขีด
การย้ายต้นกล้ากาแฟจากแปลงเพาะชำนิยมกัน คือ ย้ายต้นกล้าลงช้ำในถุงพลาสติก เป็นวิธีที่นิยมกันมากเพราะเมื่อนำไปปลูกในพื้นที่จริงจะมีเปอร์เซ็นต์การตายน้อย
9. การใส่ปุ๋ย
ควรใส่ปุ๋ยอินทรีย์ร่วมกับปุ๋ยเคมี เพราะปุ๋ยอินทรีย์ที่ช่วยปรับโครงสร้างสภาพดิน ให้เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของกาแฟ
ได้แก่ ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยพืชสด โดยเฉพาะปุ๋ยหมักจากเปลือกกาแฟ เป็นการใช้ของเหลือให้เป็นประโยชน์
ควรใส่ปีละอย่างน้อย 4 ครั้ง ในอัตรา 2 ถึง 6 กิโลกรัมต่อต้น
- ปุ๋ยเคมี ที่ช่วยเพิ่มผลิตของผลกาแฟให้สูงขึ้น ควรใส่ให้ตรงความต้องการของต้นกาแฟ
- ปีที่ 1-2 ใช้สูตร 15-15-15 อัตรา 150 กรัม ผสมสูตร 46 0 0 อัตรา 50 กรัมรวม 200 กรัมต่อต้นแบ่งใส่ 2 ครั้งช่วงต้นฤดูฝนและปลายฤดูฝน
- ปีที่ 3 ใส่สูตร 12-12-17 หรือ 13-13-21 อัตรา 6 ถึง 800 กรัมต่อต้นต่อปีแบ่งใส่ 2 ครั้งหลังดอกบานประมาณ 3 เดือนและ 6 เดือนซึ่งเป็นช่วงกาแฟติดดอก
เพราะต้องการโปแตสเซียมสูง ในช่วงต้นฝนควรใส่ปุ๋ยอินทรีย์ อัตรา 10-15 กิโลกรัมต่อต้น เพื่อบำรุงดิน
- หลังเก็บเกี่ยวและตัดแต่งกิ่งควรใส่สูตร 46-0-0 อัตรา 100 กรัมต่อต้นต่อปี
- หลังตัดแต่งกิ่ง เมื่อดอกบานได้ประมาณ 3 เดือนและ 6 เดือนควรใส่ปุ๋ยสูตร 12-12-17 หรือสูตร 13-13-21 อัตรา 600 ถึง 800 กรัมต่อต้นต่อปี
- วิธีการใส่ปุ๋ย
เนื่องจากช่วงเริ่มปลูกรากกาแฟจะกระจายอยู่ไม่ลึก จาก ผิวดิน
จึงไม่ควรขุดโดยรอบโคนต้นเพราะอาจทำให้รากกาแฟเสียหายได้ แต่ก่อนใส่ปุ๋ยควรมีการกำจัดวัชพืชเสียก่อน
แล้วโรยปุ๋ยเป็นรัศมีวงกลมรอบต้น คลุมด้วยวัสดุคลุมดินเช่นหญ้าฟางข้าว เพื่อป้องกันปุ๋ยสูญหายโดยไร้ประโยชน์
ในกรณีที่ไร่กาแฟเป็นพื้นที่สูงชัน ให้ขุดหลุมไม่ลึกมากกระจายรอบรัศมีทรงพุ่มต้นกาแฟ ใส่ปุ๋ยลงไปแล้วกลบ การใส่ปุ๋ยควรใส่ในช่วงที่ดีมีความชื้น หรือรดน้ำหลังใส่ปุ๋ย
9. การกำจัดวัชพืช
กาแฟควรได้รับการกำจัดวัชพืชอย่างสม่ำเสมอในฤดูฝน โดยเฉพาะหลังปลูกใหม่ช่วง 1-3 ปี เพราะต้นยังเล็กไม่สามารถเจริญเติบโตแข่งกับวัชพืชได้
โดยฐานรอบๆบริเวณสวนกาแฟ และทางให้สะอาดบริเวณโคนต้น การใส่ปุ๋ยเศษวัชพืชที่ทางออกสามารถนำมาเป็นวัสดุคลุมดินได้
การคลุมโคนต้นกาแฟ การคลุมโคนต้นกาแฟมีประโยชน์มากในช่วงที่สภาพอากาศแห้งแล้งซึ่งจะช่วยไม่ให้กาแฟทรุดโทรมหรือตายได้
เนื่องจากขาดความชื้นในดินและอากาศ นอกจากนี้ยังเป็นการป้องกันวัชพืช ที่จะเกิดขึ้นอีกด้วย และสามารถป้องกันพังทลายของหน้าดินเมื่อฝนตกหนัก
โดยคลุมโอนให้ห่างจากต้นกาแฟประมาณ 10 ถึง 20 เปอร์เซ็นต์เพื่อป้องกันแมลงศัตรูพืช มีความหนาไม่ต่ำกว่า 10 เซน
10. การตัดแต่งกิ่ง
- การตัดแต่งกิ่งที่ยังไม่ให้ผลผลิตแบ่งเป็น 2 วิธี
- กาแฟที่ปลูกในร่มหลังจากการปลูกต้นสูงประมาณ 75% ควรตัดลำต้นออกให้เหลือแต่ตอสูงจากพื้น 30 เซนติเมตร
เพื่อให้มีลำต้นขึ้นมาอีก 2-3 ต้นเพื่อเพิ่มทรงพุ่มและผลผลิต
- กาแฟที่ปลูกกลางแจ้งไม่ต้องตัดกิ่ง ควรปล่อยเป็นต้นเดี่ยวๆ
- การตัดแต่งต้นที่ให้ผลผลิตแล้วแบ่งเป็น 2 วิธีคือ
- กาแฟที่ปลูกมาแล้ว 2-3 ปีจะเริ่มให้ผลผลิต และกาแฟจะออกลูกตามข้อ และจะไม่ออกผลที่ข้อเดิม จากที่เคยออกไปแล้ว
พอผ่านไป 4-5 ปี ต้นกาแฟจะมีความสูงจนไม่สามารถเก็บผลผลิตจนยอดได้ จึงต้องทำการคิดยอดให้ต้นอยู่ในระดับที่คนงานสามารถทำงานได้สะดวก
และเป็นการบังคับให้กาแฟแตกออกข้างเพื่อผลิตผลผลิตใหม่ วิธีการนี้จะทำให้มีผลผลิตกาแฟเก็บได้ทุกปี
- ต้นกาแฟที่ผ่านการคิดยอดมาแล้วและมีอายุประมาณ 7-8 ปีจะมีกิ่งแขนงเข้าข้างมากและต้นจะค่อนข้างโทรม
จึงต้องตัดออกทั้งต้นให้เหลือแต่ตอสูงประมาณ 45 cm ผ่านไปประมาณ 2 เดือนจะมีหน่อออกมา ให้เด็ดออกเหลือแต่หน่อที่สมบูรณ์และอยู่ตรงข้ามกันไว้ประมาณ 2 3 หน่อต้น
วิธีการนี้เรียกว่าทำสาวต้นกาแฟ หลังจากตัดแต่งไปแล้วประมาณ 2 ปีจะให้ผลผลิต
11. วิธีการเก็บเกี่ยว
กาแฟจะให้ผลผลิตหลังจากการปลูกประมาณ 2-3 ปี ในประเทศไทยกาแฟจะสุกประมาณเดือนพฤศจิกายนถึงเมษายน
โดยผลกาแฟจะสุกไม่พร้อมกันจะทยอยสุก ควรแบ่งรอบการเก็บเป็นรุ่นๆอย่างน้อย 3 รุ่นเว้นระยะประมาณ 20 วันต่อครั้ง
ในการเก็บผลกาแฟควรเก็บทีละผลโดยเฉพาะผลที่สุดในแต่ละข้อ จะสามารถควบคุมคุณภาพของกาแฟได้ดีที่สุด
ควรเก็บผลที่สุก 90-100 เปอร์เซ็นต์คือมีสีแดงเกือบทั่วทั้งผล หรือผลที่มีสีเหลืองเกือบทั้งผลในสายพันธุ์ที่เป็นสีเหลือง
การเก็บเกี่ยวที่ดีที่สุดคือการเก็บด้วยมือ หลังจากการเก็บเกี่ยวแล้วให้นำผลกาแฟไปสีสดโดยเร็วที่สุด
ในช่วงเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์จะมีผลผลิตกาแฟมากที่สุด
อ้างอิงข้อมูล : หนังสือกาแฟ ฐานเกษตรกร (เฉพาะกิจ 22)
อ้างอิงข้อมูล : การปลูกและดูแลรักษาต้นกาแฟอาราบิก้า กรมส่งเสริมการเกษตร